ออทิสติก หรือภาวะออทิสติกสเปกตรัม (ASD)
ออทิสติก หรือภาวะออทิสติกสเปกตรัม (ASD) เป็นความผิดปกติของระบบประสาทที่มีผลต่อการสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และพฤติกรรมของบุคคล ASD มีลักษณะอาการที่แตกต่างกันมากในความรุนแรงและการแสดงออกในแต่ละบุคคล ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา ASD ที่ทราบแน่ชัด แต่การวินิจฉัยแต่เนิ่นและการรักษาสามารถช่วยปรับปรุงผลลัพธ์และคุณภาพชีวิตได้
อาการของโรคออทิสติก
อาการของออทิสติก มักปรากฏในวัยเด็กและอาจประกอบด้วยความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาทางด้านภาษา มีปัญหาในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือความสนใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และความไวต่อสิ่งเร้า บางรายอาจมีปัญหาด้านทักษะการเคลื่อนไหวประสานสัมพันธ์ขั้นสูง ในขณะที่บางรายอาจมีความสามารถทางสติปัญญาสูง บางคนที่มีภาวะออทิสติกอาจประสบกับภาวะวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ
ออทิสติกเป็นความผิดปกติของพัฒนาการที่ก่อให้เกิดความบกพร่องอย่างมากในทักษะสำคัญดังนี้:
ความบกพร่องทางทักษะสังคมที่ส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น
- การมองสบตาลดลง
- ไม่สามารถแสดงความต้องการได้
- ขาดความสนใจที่จะแบ่งปันหรือเลียนแบบผู้ดูแล
- มีความชอบที่จะเล่นหรืออยู่คนเดียว
ความบกพร่องด้านภาษาและการสื่อสาร ซึ่งอาจส่งผลต่อทั้งการเข้าใจและการใช้ภาษา
- อาจไม่ส่งเสียงเพื่อเริ่มสื่อสารกับผู้ดูแล
- ไม่ตอบรับเมื่อถูกเรียก
- มีปัญหาในการสื่อความหมายผ่านกิริยาท่าทาง
- พูดช้า ไม่พูดเลย หรือพูดซ้ำๆ ใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม ทวนคำ หรือสร้างภาษาของตนเอง
พฤติกรรมซ้ำ ๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เช่น
- พฤติกรรมซ้ำ ๆ เช่น กระโดด หมุนตัว สะบัดมือ โยกตัว ชอบเรียงวัตถุเป็นแนวตรง สนใจการหมุนวัตถุ
- มีความสนใจจำกัดในแบบแผนเดิม ๆ เช่น เลือกอาหารจำเพาะ สวมชุดเดิม ๆ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง เด็กจะไม่ชอบหรือรู้สึกหงุดหงิด
- มีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป เช่น ดมหรือเลียสิ่งของ ปิดหูเมื่อได้ยินเสียงดัง เดินระหว่างปลายเท้า
สาเหตุของโรคออทิสติก
ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของภาวะออทิสติกสเปกตรัมได้ แต่จากการศึกษาทางการแพทย์ส่วนใหญ่เชื่อว่า มีปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดโรค โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้
- ปัจจัยทางพันธุกรรม หากพ่อแม่มีลูกในช่วงอายุมาก มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกเป็นออทิสติก และยังพบอัตราการเป็นออทิสติกสูงในคู่แฝด หรือพี่น้องที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก นอกจากนี้ การเป็นออทิสติกยังอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม ซึ่งตรงกับโรคทางพันธุกรรมบางชนิด เช่น กลุ่มอาการโครโมโซมเอ็กซ์เปราะ (Fragile X syndrome) โรคเท้าแสนปม (Neurofibromatosis)
- ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยเสริมที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการของสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เช่น การที่มารดาได้รับสารเคมีบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง โลหะหนัก การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ หรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอด เช่น การขาดออกซิเจน หรือการคลอดก่อนกำหนด
ออทิสติกมีกี่ระดับ
เกณฑ์การวินิจฉัยในปัจจุบันจะแบ่งภาวะออทิสติกสเปกตรัมออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรงของอาการและระดับความช่วยเหลือที่ต้องการ เพื่อให้สามารถวางแผนการดูแลได้อย่างเหมาะสม
- ระดับที่ 1 ต้องการการช่วยเหลือ (Requiring Support) เด็กในกลุ่มนี้จะมีความบกพร่องด้านการสื่อสารที่สามารถสังเกตได้ชัดเจน มักมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อย ไม่ค่อยยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน อีกทั้งยังประสบปัญหาในการวางแผนและจัดการงานต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
- ระดับที่ 2 ต้องการการช่วยเหลือมาก (Requiring Substantial Support) เด็กในกลุ่มนี้มีความบกพร่องในการสื่อสารทั้งด้านการใช้คำพูดและท่าทางในการสื่อความหมาย ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีน้อยมาก หรือแทบไม่ตอบสนองต่อบุคคลรอบข้าง อีกทั้งยังมีความสนใจที่จำกัด และมักแสดงพฤติกรรมซ้ำ ๆ อย่างเห็นได้ชัด
- ระดับที่ 3 ต้องการการช่วยเหลืออย่างสูงมาก (Requiring Very Substantial Support) เป็นระดับที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กมีความบกพร่องด้านการสื่อสารรุนแรง ทำให้แทบไม่สามารถสื่อสารหรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้ พูดน้อยมาก หรือไม่พูดเลย และมักตอบสนองด้วยพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงเมื่อถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อีกทั้งยังคงทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ อยู่เสมอจนส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ออทิสติกเทียมคืออะไร แตกต่างจากออทิสติกสเปกตรัมอย่างไร
ออทิสติกเทียม หมายถึงภาวะที่เด็กแสดงพฤติกรรมคล้ายกับเด็กออทิสติก เช่น ไม่ตอบสนองต่อคำพูด หรือเล่นคนเดียว แต่มีสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู โดยเฉพาะการขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม ขาดการเล่นที่สมวัย เช่น การปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอมากเกินไป ทำให้ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คน หรือฝึกเข้าสังคมอย่างเหมาะสมตามวัย
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ ออทิสติกสเปกตรัมมีสาเหตุจากพัฒนาการของสมองที่ผิดปกติมาแต่กำเนิดและเป็นภาวะที่จะอยู่กับบุคคลนั้นไปตลอดชีวิต ในขณะที่ออทิสติกเทียม หากได้รับการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอย่างทันท่วงที เช่น งดหน้าจอโดยเด็ดขาดและเพิ่มการเล่นแบบมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ อาการคล้ายออทิสติกเหล่านั้นสามารถดีขึ้นและหายไปได้
เมื่อไรที่ควรพบแพทย์
ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลควรพาเด็กไปพบแพทย์ หากสังเกตเห็นพัฒนาการล่าช้าหรือพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น พูดช้ากว่าปกติ หรือมีปัญหาในการเข้าสังคม การได้รับการช่วยเหลือตั้งแต่ระยะเริ่มต้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อเด็กที่มีภาวะออทิสติก หากพบพฤติกรรมที่น่ากังวล หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพัฒนาการของบุตรหลาน ควรเข้ารับคำปรึกษากับจิตแพทย์โดยเร็ว
ภาวะฉุกเฉินของโรคออทิสติก
บุคคลที่มีภาวะออทิสติกอาจแสดงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือก้าวร้าว ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ หากพบพฤติกรรมที่น่ากังวล เช่น มีความคิดฆ่าตัวตาย การทำร้ายตนเอง หรือใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น ควรรีบขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยทันที
การวินิจฉัยโรคออทิสติก
การวินิจฉัยภาวะออทิสติก เด็กจะได้รับการประเมินอย่างละเอียดโดยทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพ เช่น กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็ก นักจิตวิทยา และนักจิตบำบัดการประเมินอาจรวมถึงการทบทวนประวัติทางการแพทย์ของเด็ก การสังเกตพฤติกรรม และการประเมินด้านความสามารถทางสติปัญญาและพัฒนาการตามมาตรฐาน การประเมินยังอาจมีการตรวจคัดกรองการได้ยินและการมองเห็น เพื่อกำจัดสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดความล่าช้าในพัฒนาการ
การรักษาโรคออทิสติก
การรักษาภาวะออทิสติก มีความเฉพาะเจาะจงสูงสำหรับแต่ละบุคคล และอาจประกอบด้วยหลายวิธีเข้าด้วยกัน ดังนี้
- การบำบัดพฤติกรรม (Behavior Therapy) เป็นการรักษาเพื่อช่วยปรับปรุงทักษะทางสังคม การสื่อสาร ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พร้อมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมที่เหมาะสมในการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม วิธีที่นิยมใช้ เช่น การกระตุ้นพัฒนาการ การวิเคราะห์พฤติกรรมประยุกต์ (ABA) และการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT)
- การส่งเสริมพัฒนาการและการศึกษา เด็กแต่ละคนจะได้รับการส่งเสริมในด้านที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น การฝึกพูด เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสาร หรือการเข้ารับการศึกษาพิเศษที่มีโปรแกรมเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ของเด็ก
- การรักษาโดยการให้ยา (Medications) ไม่มียาที่ใช้รักษาออทิสติกโดยตรง แต่แพทย์อาจพิจารณาสั่งจ่ายยาเพื่อควบคุมอาการหรือภาวะที่เกิดร่วมกัน เช่น ภาวะวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรืออาการอยู่ไม่นิ่งที่รุนแรง เมื่อเด็กมีอาการตอบสนองที่ดี แพทย์จะพิจารณาค่อย ๆ ปรับลดปริมาณยา หรือหยุดให้ยาไปในที่สุด
สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างครอบครัวและทีมแพทย์ เพื่อพัฒนาและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับเด็กในแต่ละช่วงของพัฒนาการ
ออทิสติก รักษาหายไหม
จากประสบการณ์ดูแลเด็กออทิสติก ถึงแม้จะเป็นภาวะที่ไม่สามารถพูดว่าหายขาดได้ แต่การกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่เล็กๆ จะทำใ้เด็กกลับมามีศักยภาพในการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตที่อาจบอกว่าได้บ้างคนก็เทียบเท่ากับเด็กที่ไม่มีปัญหาทางพัฒนาการ ทั้งนี้การที่เด็กจะกลับมามีศักยภาพดีหลังผ่านการฝึกนั้นจะขึ้นกับ 3 ปัจจัยที่สำคัญคือ IQ ของเด็ก, การสื่อสารเป็นคำพูดได้ตั้งแต่อายุยังเล็ก และทัศนคติของพ่อแม่หรือผู้ดูแลต่อการตัดสินใจพาเด็กเข้าสู่กระบวนบำบัดรักษา
ในปัจจุบัน ไม่สามารถรักษาออทิสติกให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการดูแลรักษาเป็นการส่งเสริมและพัฒนาทักษะในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยให้เด็กสามารถสื่อสาร เข้าสังคม และใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพมากที่สุด การได้รับการส่งเสริมพัฒนาการอย่างถูกต้องและรวดเร็วตั้งแต่เนิ่น ๆ คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้เด็กออทิสติกเติบโตและใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างดีที่สุดหากผู้ปกครองสงสัยว่าบุตรหลานอาจมีอาการดังกล่าว และกำลังมองหาโรงพยาบาลจิตเวช สามารถนัดหมายเพื่อปรึกษาได้ที่โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (BMHH) เรามีทีมสหสาขาวิชาชีพที่พร้อมทำงานร่วมกับครอบครัว เพื่อดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของบุตรหลานในระยะยาว นัดหมายและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LINE Official Account: @bmhh หรือโทร 02-589-1889 เวลา 8.00-20.00 น
บทความโดย
พญ.ปัทมาพร ทองสุขดี
จิตเวชเด็กและวัยรุ่น
โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (BMHH) / Bangkok Mental Health Hospital (BMHH)
Talk to Doctor
Call Us
Line BMHH