
เคยไหมที่ในสถานการณ์ตึงเครียด จู่ ๆ ก็รู้สึกหายใจหอบเร็วขึ้น ใจสั่นรัว เวียนศีรษะ จนมือเท้าเริ่มชาและจีบเกร็ง อาการที่น่าตกใจเหล่านี้ทำให้หลายคนคิดว่าตัวเองกำลังเป็นโรคหัวใจหรือกำลังจะเสียชีวิต แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่อาจเป็นอาการของ “ภาวะหายใจเร็วเกินไป” หรือ Hyperventilation Syndrome ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด หรือความวิตกกังวลที่รุนแรง แม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนสำคัญจากร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม
อาการหายใจเร็วเกินไป (Hyperventilation Syndrome) คืออะไร
ภาวะหายใจเร็วเกินไป หรือ Hyperventilation คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการที่ร่างกายหายใจเร็วและลึกเกินความต้องการปกติ ทำให้มีการขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ออกไปทางลมหายใจมากเกินไปอย่างรวดเร็ว และรับออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลของความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย และกระตุ้นให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ จนเกิดเป็นอาการต่าง ๆ เช่น อาการชา และกล้ามเนื้อเกร็งหรือมือจีบตามมา
ลักษณะอาการของ Hyperventilation

- หายใจเร็ว หอบลึก รู้สึกหายใจไม่อิ่ม เหมือนขาดอากาศหายใจ
- รู้สึกกังวล เครียด หรือกระวนกระวาย
- เวียนศีรษะ หน้ามืด รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
- ชาตามปลายมือ ปลายเท้า และรอบปาก
- มือจีบเกร็ง เท้าเกร็ง หรือกล้ามเนื้อกระตุก
- ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว รู้สึกเจ็บ หรือแน่นหน้าอก
- เหงื่อออกมากผิดปกติ ปากแห้ง
สาเหตุที่ทำให้เกิด Hyperventilation คืออะไร
สาเหตุของภาวะ Hyperventilation คือ สาเหตุทางด้านจิตใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด และสาเหตุทางด้านร่างกาย
สาเหตุทางจิตใจ
โดยส่วนใหญ่แล้ว ภาวะนี้มักเป็นผลมาจากสภาวะอารมณ์ที่รุนแรง ทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยการหายใจที่ผิดปกติไป ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อย ได้แก่
- ความเครียดและความวิตกกังวล ความกดดันจากปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ปัญหาการเรียน การทำงาน หรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด
- อารมณ์ที่รุนแรง ความรู้สึกตื่นกลัว ตกใจ หรือประหม่าอย่างรุนแรงเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
- โรคทางจิตเวช เป็นอาการหนึ่งของโรคทางจิตเวช โดยเฉพาะโรคแพนิค (Panic Disorder) หรือ โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
สาเหตุทางร่างกาย
อย่างไรก็ตาม อาการหายใจเร็วอาจเป็นสัญญาณของโรคหรือภาวะทางกายบางอย่างได้เช่นกัน ซึ่งแพทย์จำเป็นต้องตรวจเพื่อแยกโรคเหล่านี้ออกไป สาเหตุทางกายที่อาจเป็นไปได้มีดังนี้
- โรคเกี่ยวกับปอดและหัวใจ เช่น โรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) และโรคหัวใจ
- มีไข้สูง
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากโรคเบาหวาน (Diabetic Ketoacidosis)
- ปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น การใช้ยาเกินขนาด การใช้สารกระตุ้น หรือการขึ้นไปอยู่ในพื้นที่สูงซึ่งมีออกซิเจนเบาบาง
วิธีรับมือเมื่อมีอาการ Hyperventilation
เมื่อเกิดอาการขึ้น การตั้งสติและรับมืออย่างถูกวิธีจะช่วยให้อาการสงบลงได้เร็วขึ้น
- ตั้งสติและพยายามควบคุมการหายใจ พยายามหายใจให้ช้าลงและหายใจตื้นลงถึงหายใจไม่เต็มปอดจะเป็น Hyperventilation มากกว่าเดิม
- พาตัวเอง หรือผู้ป่วยออกจากสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความเครียด ไปยังที่ที่เงียบสงบ และอากาศถ่ายเท
- ฝึกหายใจแบบ 4-7-8 โดยหายใจเข้าทางจมูกช้า ๆ นับ 1–4 ในใจ จากนั้นกลั้นหายใจ นับ 1–7 ในใจ แล้วหายใจออกผ่านทางปากช้า ๆ พร้อมนับ 1–8 ในใจ
- ใช้ถุงกระดาษครอบปากและจมูก แล้วหายใจเข้าออกในถุงนั้นช้า ๆ เพื่อนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับเข้าร่างกาย แต่วิธีนี้ไม่ควรทำหากเป็นโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือมีประวัติภาวะหลอดเลือดขาและปอดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด
- การผ่อนคลายจิตใจ เช่น การมองสิ่งรอบตัว การฟังเสียงธรรมชาติ หรือการนับตัวเลขถอยหลัง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอาการที่เกิดขึ้น
วิธีรักษาอาการ Hyperventilation

ผู้ป่วย Hyperventilation ที่มีสาเหตุมาจากความเครียด หรือความวิตกกังวล ึควรพบนักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุทางกายภาพ หรือโรคที่เกี่ยวข้อง และรับการบำบัดจิตใจ เช่น การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy : CBT) เป็นการรักษาที่ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้ที่จะระบุความคิดและสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล และฝึกฝนวิธีตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นในรูปแบบใหม่ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
หากอาการ Hyperventilation คือส่วนหนึ่งของโรควิตกกังวล หรือโรคแพนิค จิตแพทย์อาจพิจารณาให้ยากลุ่มช่วยคลายเครียดและนอนหลับ (Benzodiazepines) ยาในกลุ่มยาคลายกังวล หรือยาต้านเศร้า (Anti-depressants) เพื่อช่วยปรับสมดุลสารเคมีในสมอง
Hyperventilation สามารถนำไปสู่โรคอื่นได้ไหม
ในผู้ป่วยที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี อาการ Hyperventilation ไม่ได้นำไปสู่โรคอื่น ๆ ที่อันตรายร้ายแรง อย่างไรก็ตาม หากเกิดซ้ำบ่อยและไม่ได้รับการจัดการที่ต้นเหตุ อาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล หรือภาวะตื่นตระหนก ซึ่งอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้
Hyperventilation เป็นอันตรายร้ายแรงหรือไม่
ภาวะ Hyperventilation ที่มีสาเหตุมาจากความเครียดหรือความวิตกกังวลนั้น ตัวอาการเองไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่มักจะกระทบต่อคุณภาพชีวิต หากปล่อยให้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
แต่ในทางกลับกัน หากอาการ Hyperventilation เป็นผลมาจากโรคทางกายที่ซ่อนอยู่ เช่น โรคหัวใจ โรคหอบหืดรุนแรง หรือภาวะเลือดเป็นกรด ความอันตรายจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคต้นเหตุนั้น ๆ ซึ่งอาจเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่ด่วนสรุปเอาเอง และควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อแยกสาเหตุที่แท้จริงออกจากกัน หากเป็นเรื่องของจิตใจก็จะได้รับการดูแลที่ถูกวิธี แต่หากมีสาเหตุทางกายซ่อนอยู่ ก็จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
รับมือ Hyperventilation เริ่มต้นที่การปรึกษาแพทย์
ภาวะ Hyperventilation อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอาการจะเกิดขึ้นเมื่อใด อีกทั้งต้นตอสำคัญของภาวะนี้ก็มักมาจากความเครียด ความวิตกกังวล หรือปัญหาทางจิตใจอื่น ๆ ที่ไม่ได้รับการดูแล ดังนั้น หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ควรขอคำปรึกษาจากจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเพื่อหาวิธีจัดการที่เหมาะสมและปลอดภัย
Bangkok Mental Health Hospital (BMHH) โรงพยาบาลจิตเวชในเครือโรงพยาบาลเวชธานี เรามีทีมจิตแพทย์และนักจิตวิทยาคลินิกที่พร้อมให้คำปรึกษา วินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และวางแผนการรักษาที่ครอบคลุม เพื่อช่วยให้คุณสามารถจัดการกับความเครียดและความกังวลที่ต้นตอได้อย่างเหมาะสม และกลับมามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตอีกครั้ง
นัดหมายเข้าพบจิตแพทย์และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทรศัพท์: 02-589-1889
LINE Official Account: @bmhh
บทความที่เกี่ยวข้อง

หงุดหงิดง่ายเกิดจากอะไร รวมสาเหตุและวิธีแก้ที่ควรรู้
อารมณ์หงุดหงิดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนในชีวิตประจ […]

โรคมโน ปัญหาสุขภาพจิตที่มักหลอกตัวเอง รักษาอย่างไร
หลายครั้งที่เราอาจเคยใช้คำว่า “มโน” ในความหมายทั่วไปที่ […]

เครียดสะสมเสี่ยงโรค ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
ความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคยเผชิญ แต่เมื่อความกดดั […]
Talk to Doctor
Call Us
Line BMHH