สมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้น หรือ ADHD (Attention Decit Hyperactivity Disorder) เป็นภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นจากสมองส่วนหน้าที่ดูแลและกำกับในเรื่องของการมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การวางแผน รวมถึงการควบคุมตัวเองและการยับยั้งชั่งใจ ส่งผลต่อพฤติกรรมจนทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเรียนรู้ พัฒนาการ และการอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมตามมา ซึ่งมักจะมีอาการตั้งแต่ช่วงเด็ก ติดตัวไปจนถึงช่วงวัยรุ่น และส่งผลเห็นชัดเจนในช่วงวัยผู้ใหญ่ได้
โรคสมาธิสั้น คืออะไร
โรคสมาธิสั้น คือ อาการความบกพร่องของสมองส่วนหน้า ทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองให้มีสมาธิ หรือทำอะไรเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้ มักพบในเด็กอายุ 3-12 ปี และพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง โดยสังเกตได้จากการขาดสมาธิ ซนมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ขาดการยั้งคิดหรือตริตรองให้ดี รวมถึงเรียนรู้ได้ช้า และส่งผลต่อกิจวัตรประจำวัน
สาเหตุของโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นเกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ซึ่งมักจะมาจากสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคสมาธิสั้น จะเพิ่มความเสี่ยงของโรคได้ถึง 4-5 เท่า
- สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกคลอดน้อย
- การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น การให้ดูโทรทัศน์ สมาร์ตโฟน หรือเล่นเกมเป็นระยะเวลานาน
อาการของโรคสมาธิสั้นที่พบได้บ่อย
อาการของโรคสมาธิสั้นที่มักจะพบได้บ่อยในเด็กและผู้ใหญ่ มีดังต่อไปนี้
อาการของโรคสมาธิสั้นในเด็ก
อาการหลักของเด็กสมาธิสั้นมี 3 ด้าน คือ
- ขาดสมาธิในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างต่อเนื่อง (Inattention) ไม่มีสมาธิ ว่อกแว่กง่าย ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นระยะเวลานาน ๆ ขาดความละเอียดรอบคอบ
- ซนมากเกินไป ไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้เป็นระยะเวลานาน ๆ (Hyperactive) อาการเด็กสมาธิสั้นที่พบบ่อย ๆ คือ พูดมากกว่าปกติ หากอยู่ในชั้นเรียนก็มักจะเป็นเด็กที่ชวนเพื่อนคุยไม่หยุด
- หุนหันพลันแล่น (Impulsivity) ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ มักทำก่อนที่จะคิด ไม่สามารถรอคอยได้ ชอบพูดแทรก ไม่สามารถรอให้คนอื่นพูดจนจบประโยคได้
อาการของโรคสมาธิสั้นในผู้ใหญ่
- มีปัญหากับการจัดลำดับความสำคัญในการทำงาน หรือไม่สามารถบริหารเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงไม่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน
- มีความอดทนต่ำ และหงุดหงิดง่าย ส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ในสังคม
- มีปัญหากับการจัดการความเครียด ไม่สามารถทนอยู่ในสภาวะดังกล่าวได้
โรคสมาธิสั้น จำเป็นต้องพบแพทย์หรือไม่
แนะนำให้ผู้ปกครองหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็กโดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่อยู่ในวัยซุกซน หรือไม่สามารถอยู่นิ่งได้นาน ๆ หากไม่แน่ใจว่าเข้าข่ายอาการเด็กสมาธิสั้นหรือไม่ แนะนำให้พามาพบจิตแพทย์เด็กเพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด และป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อพัฒนาการการเรียนรู้ และการใช้ชีวิตในอนาคตของเด็ก จนกระทั่งอาจกลายเป็นโรคสมาธิสั้นติดตัวไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
ภาวะฉุกเฉินของโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นไม่มีภาวะฉุกเฉินที่ต้องมาพบแพทย์ในทันที แต่หากมีอาการฉุนเฉียวอย่างรุนแรง แนะนำให้พาไปพบแพทย์ชำนาญการด้านจิตเวชเพื่อวินิจฉัยและรักษาต่อไป
การวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น
โรคสมาธิสั้นเป็นการวินิจฉัยทางคลินิก โดยพิจารณาจากประวัติและพฤติกรรมของคนไข้ตามเกณฑ์ทางการแพทย์ เช่น มีอาการขาดสมาธิ อยู่ไม่นิ่่ง หุนหันพลันแล่นมากกว่าปกติของเด็กในวัยเดียวกันโดยอาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนอายุ 712 ปี มักส่งผลต่อการเรียนรู้ พัฒนาการ และการทำงานของผู้ป่วย แต่ไม่ได้เป็นโรคทางจิตเวชอื่น ๆ
การรักษาโรคสมาธิสั้น
การรักษาโรคสมาธิสั้นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่จะเป็นในลักษณะของการผสมผสานวิธีรักษาที่เหมาะสมตามแต่ละบุคคล และต้องอาศัยความร่วมมือกับบุคคลใกล้ชิด โดยมีแนวทางดังต่อไปนี้
- ปรับสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู
- ในกรณีเด็กสมาธิสั้น แพทย์จะอธิบาย และให้ความรู้ รวมถึงคำแนะนำในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับเด็กและผู้ปกครอง เป็นสภาพแวดล้อมที่โรงเรียน, การทำตารางการบ้าน และกิจวัตรจำกัดเวลาใช้หน้าจอ
- ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ใหญ่ อาจจะแนะนำญาติหรือบุคคลใกล้ชิดให้ช่วยสนับสนุนและช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น การทำตารางงานแจ้งเตือน การผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะสม
- รักษาด้วยยา โดยแพทย์จะสั่งยารักษาโรคสมาธิสั้นตามความเหมาะสมของแต่ละราย ซึ่งยารักษาโรคสมาธิสั้นแต่ละชนิดจะออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป หากมีอาการผิดปกติ คนไข้สามารถกลับมาพบแพทย์เพื่อปรับยาให้เหมาะสมได้ โดยยาที่ใช้มีหลายกลุ่ม ดังนี้
- ยากลุ่มกระตุ้นระบบประสาท(Stimulants) เป็นยาที่ให้ผลการรักษาดีในผู้ป่วยส่วนใหญ่ มีทั้งแบบออกฤทธิ์สั้นและออกฤทธิ์ยาว ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือเบื่ออาหาร ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือนอนไม่หลับ
- ยากลุ่มไม่กระตุ้นระบบประสาท(Non-stimulant) ใช้ในกรณีที่เด็กไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาในกลุ่มแรกได้
- ยากลุ่มอื่น ๆ เช่น ยาต้านเศร้า อาจถูกนำมาใช้ในกรณีที่เด็กมีภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวน
บทบาทของผู้เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้น
การดูแลเด็กสมาธิสั้นไม่สามารถพึ่งพาเพียงการรักษาจากแพทย์ หรือการใช้ยาเพียงอย่างเดียวได้ แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งผู้ปกครอง ครู และเพื่อน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เด็กสามารถปรับพฤติกรรม พัฒนาทักษะด้านการเรียนรู้ การเข้าสังคม และการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
1. พ่อแม่
- เข้าใจว่าอาการสมาธิสั้นไม่ใช่ความขี้เกียจ หรือการแกล้งทำ
- มอบความรัก ความอบอุ่น และใช้ทัศนคติเชิงบวกเสมอ
- อดทน ให้เวลา และให้แรงเสริมในเชิงบวกอยู่เสมอ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดี
2. คุณครู
คุณครูมีบทบาทสำคัญในการดูแลเด็กสมาธิสั้นในห้องเรียน แนวทางที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น
- จัดที่นั่งด้านหน้า ใกล้ครูและกระดาน
- สังเกตความพร้อมของเด็กก่อนเริ่มสอน
- กระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วม เช่น ตอบคำถาม หรือมอบหมายงานที่ต้องลุกจากที่บ้าง
- ใช้คำสั่งที่สั้นและชัดเจน และอาจต้องมีการแตะตัวเบา ๆ เพื่อให้เด็กรู้สึกตัวและหันมาสนใจก่อนพูดคุย
- ใช้การกระทำประกอบการอธิบายเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
- ให้คำชมมากกว่าการตำหนิ หลีกเลี่ยงการประจาน หรือทำโทษรุนแรง
- ใช้การอธิบายสั้น ๆ พร้อมสาธิตเป็นตัวอย่างชัดเจน
- แบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อให้เด็กสามารถทำงานเสร็จได้ในระยะเวลาสั้น ๆ จะช่วยสร้างความรู้สึกภาคภูมิใจและมีกำลังใจในการทำงานต่อ
3. เพื่อน
เพื่อนในห้องเรียนก็มีส่วนช่วยให้เด็กสมาธิสั้นปรับตัวได้ดีขึ้น วิธีช่วยเหลือ ได้แก่
- เข้าใจและไม่ล้อเลียน
- ช่วยเรื่องการบ้านหรือการเรียน เช่น ให้ยืมจดบันทึก หรือเตือนเรื่องการส่งงาน
- คอยเรียกหรือเตือน เมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มว่อกแว่ก หรือเหม่อในขณะเรียน
โรคสมาธิสั้นเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคทางพัฒนาการที่มีการรักษาที่ง่ายและชัดเจนที่สุด เป็นหนึ่งในภาวะที่ต้องอาศัยการเปิดใจจากพ่อแม่เพื่อให้เด็กได้รับการเข้าถึงการรักษา เพราะยาและการดูแลเพียงแค่เล็กน้อยก็เปลี่ยนบุคลิกและอนาคตของเด็กได้อย่างสิ้นเชิง สำคัญคือการเลี้ยงดูที่เอาใจใส่ ไม่ปล่อยปละละเลยและมีความคิดแง่ลบต่อเด็กกลุ่มนี้ เพราะโรคนี้ไม่นับเป็นภาวะเด็กพิเศษทางกฎหมายและทางการแพทย์ เด็กมีความเก่งซ่อนอยู่ภายใต้คลื่นสมองที่ไม่นิ่ง
เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้เด็กต้องพยายามแก้ปัญหานี้เพียงลำพัง หากสงสัยควรพาเด็กมาพบจิตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและแนะนำการดูแลอย่างถูกต้อง
แม้ว่าโรคสมาธิสั้นจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของสมองส่วนหน้า แต่ก็เป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แนะนำให้ดูแลอย่างเหมาะสมตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ดี อย่างไรก็ตาม หากมีอาการข้างต้นสามารถนัดหมายปรึกษาจิตแพทย์ของโรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ เพราะมีทีมสหสาขาวิชาชีพที่มากประสบการณ์ ช่วยดูแลสุขภาพจิตของคุณได้ในระยะยาว นัดหมายและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LINE Official Account: @bmhh หรือโทร 02-589-1889 เวลา 8.00-20.00 น.
บทความโดย
พญ.ปัทมาพร ทองสุขดี
จิตเวชเด็กและวัยรุ่น
โรงพยาบาลแบงค็อก เมนทัล เฮลท์ (BMHH) / Bangkok Mental Health Hospital (BMHH)
Talk to Doctor
Call Us
Line BMHH