อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวร่าเริง เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวหงุดหงิด เป็นหนึ่งในอาการของโรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งเป็นโรคที่ตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้างไม่ควรมองข้าม เพราะหากอาการมีความรุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยอาจเสี่ยงฆ่าตัวตายได้
แพทย์หญิงอริยาภรณ์ ตั้งชีวินศิริกูล จิตแพทย์ โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental health Hospital กล่าวว่า โรคไบโพลาร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่ผู้ป่วยจะมีความผิดปกติทางอารมณ์ จากการศึกษาปัจจุบันพบว่า โรคนี้เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ พันธุกรรม เช่น หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ ก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมากขึ้น, ปัจจัยด้านชีวภาพ เกิดจากสารสื่อประสาทและการทำงานของสมองบางส่วนผิดปกติไป และสุดท้ายคือด้านพฤติกรรม สภาพจิตใจ และสังคม เช่น การอดนอน การใช้สารเสพติด การเผชิญความเครียดและกดดันสูง หรือคุณแม่หลังคลอดที่มีความเครียดสะสมเป็นระยะเวลานาน
โรคไบโพลาร์เป็นอาการทางจิตที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว โดยจะมีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสลับกันไปในแต่ละช่วง และไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่
- ระยะแมเนีย (Manic episode) ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ดี สนุกสนาน คึกคักเกินเหตุ เชื่อมั่นในตัวเองสูง ชอบพูดชอบคุย นอนน้อยกว่าปกติ บางคนนอนแค่วันละ 1 – 2 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการอ่อนเพลียตามมา และบางคนอาจมีอาการหงุดหงิดก้าวร้าวได้ง่ายเมื่อถูกขัดใจ
- ระยะซึมเศร้า (Depressive episode) ผู้ป่วยจะมีอาการตรงกันข้ามกับระยะแมเนีย และมีอาการคล้ายกับโรคซึมเศร้า คือมีอาการเซื่องซึม เบื่อหน่าย ท้อแท้ ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าคิดตัดสินใจ ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่มีเรี่ยวแรง เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง หมดหวังกับชีวิต มองโลกในแง่ร้าย คิดวนเวียน หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแมเนีย มักจะไม่คิดว่าตัวเองผิดปกติ และมองว่าช่วงนี้ตัวเองอารมณ์ดี มีความขยันก็เท่านั้น คนอื่น ๆ จึงจะสังเกตได้ยากโดยเฉพาะในช่วงระยะแรก ๆ ที่อาการยังไม่มาก แต่หากสังเกตจริง ๆ จะพอมองออกได้ว่าลักษณะแบบนี้ไม่ใช่ตัวตนของผู้ป่วย เพราะอารมณ์ต่าง ๆ จะแสดงออกมากว่าปกติไปมาก ในขณะที่หากเป็นระยะซึมเศร้า ผู้ป่วยจะพอบอกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิม และคนใกล้ชิดจะสังเกจได้ไม่ยากเท่าระยะแมเนีย เพราะผู้ป่วยจะซึมลง ดูทุกข์และเศร้า
การรักษาโรคไบโพลาร์ หลัก ๆ คือการใช้ยา ซึ่งยาที่ใช้รักษา ได้แก่ กลุ่มยาควบคุมอารมณ์ ยาต้านโรคจิต และยาต้านเศร้า ซึ่งการใช้ยาเหล่านี้ขึ้นกับการพิจารณาของแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย นอกจากนี้ การรักษาอาจใช้ยาควบคู่กับการทำจิตบำบัด ปรับพฤติกรรม หรือการรักษาด้วยไฟฟ้าในกรณีที่มีอาการรุนแรง และต้องการผลการรักษาที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายของการรักษาโรคไบโพลาร์ คือการที่ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานเป็นคนเดิม และใช้ชีวิตในสังคมได้ แต่การรักษาอาจไม่หายขาด วันดีคืนดีอาจกลับมามีอาการอีก โดยเฉพาะในรายที่มีอาการป่วยมาหลายครั้งหรือค่อนข้างถี่ แต่ละครั้งอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกลับมาอีก ทั้งนี้ แพทย์หญิงอริยาภรณ์แนะนำว่า การดูแลตัวเองเบื้องต้นให้ห่างไกลจากโรคไบโพลาร์ สามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การใช้สารเสพติด หรือยาที่ซื้อมารับประทานเองบางประเภท เช่น ยาลดความอ้วน ยาสมุนไพ หากพบว่าตนเองเผชิญกับความเครียด ความกดดันอย่างมากจนรู้สึกว่าไม่สามารถทนกับสถานการณ์เดิมได้ ควรเริ่มจัดการกับปัญหา มองหาตัวช่วย หรือหากปัญหานั้นยังไม่สามารถแก้ไขได้ ควรเน้นทำกิจกรรมที่ช่วยให้ความเครียดลดลงก่อน และผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีอาการเข้าข่ายโรคไบโพลาร์ หรือมีความเครียดสูง สามารถรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาได้
แพทย์หญิงอริยาภรณ์ ตั้งชีวินศิริกูล
จิตแพทย์โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental health Hospital
บทความที่เกี่ยวข้อง
ก้าวข้ามผ่านความทุกข์ด้วยพลังของการบำบัด
ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความกดดัน การรักษาสุขภาพจิตกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพร่างกาย
GAD เมื่อความกังวลกลายเป็นปัญหา
ทุกคนย่อมมีความกังวลใจบ้างเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่ความกังวลที่มากเกินไปและต่อเนื่องเป็นเวลานานจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
บาดแผลที่เกิดขึ้นในใจเด็ก อาจเสี่ยงเป็น PTSD
โรค PTSD หรือโรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนขวัญ เป็นโรคจิตเวชที่สามารถเกิดได้กับทุกคนที่ประสบเหตุการณ์รุนแรงหรือเหตุการณ์สะเทือนใจมา
Talk to Doctor
Call Us
Line BMHH