เด็กติดจอเสี่ยงเป็น “ออทิสติกเทียม”

Share
ออทิสติกเทียม

คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ บ้านอาจเปิดคลิปให้ลูกดูหรือให้เล่นเกมเพื่อที่จะทำให้ลูกอยู่นิ่งมากขึ้น ควบคุมง่าย และดูแลง่ายขึ้น แต่ถ้าเด็กมีอาการงอแงเวลาไม่ได้ดูจอตามที่ต้องการ พฤติกรรมแบบนี้จะเรียกว่า “ติดจอ” นำมาซึ่งพัฒนาการต่าง ๆ ที่ล่าช้า จนคล้ายเป็นอาการของภาวะออทิสติก ซึ่งจะเรียกว่า “ออทิสติกเทียม” หรือ  “Virtual autism” โดยจะพบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี

“ออทิสติกเทียม” ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของสมองเหมือนออทิสติกทั่วไป แต่เกิดจากพฤติกรรมการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง โดยอาจพบได้ในเด็กที่ติดจอมากเกินไป จนสนใจแต่เรื่องราวที่อยู่ในหน้าจอ และขาดความสนใจ และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านการพูด เพราะการดูสื่อผ่านทางหน้าจอเป็นการสื่อสารทางเดียวไม่มีการโต้ตอบกลับทำให้เด็กไม่ได้ฝึกพูดหรือตอบคำถาม 

 การที่เด็กจดจ่อและเพลิดเพลินกับภาพที่เคลื่อนไหวรวดเร็วที่อยู่ตรงหน้า และเสียงที่สนุกสนานดึงดูดใจ สามารถส่งผลให้เด็กใจร้อน มีสมาธิสั้นลง เกิดอาการคล้ายโรคสมาธิสั้นตามมาได้ด้วย 

6 อาการของโรคออทิสติกเทียม จะคล้ายคลึงกับโรคออทิสติกทั่วไป ได้แก่

  1. ซุกซนอยู่ไม่นิ่ง
  2. ไม่สามารถจดจ่อกับกิจกรรมอื่น ๆ ได้นาน ยกเว้นการดูหน้าจอ 
  3. ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมหรือผู้คนรอบข้าง
  4.  ไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 
  5. อยู่ไม่นิ่ง
  6.  มีความผิดปกติทางการพูด เช่น พูดช้ากว่าวัยหรือพูดไม่รู้เรื่องเมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเด็กในวัยเดียวกัน 

การป้องกันโรคออทิสติกเทียม 

ต้องเริ่มตั้งแต่การสังเกตพฤติกรรมของลูกและการตระหนักถึงสภาพปัญหา การให้คุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัวมีปฏิสัมพันธ์กับลูกมากขึ้น เช่น การเล่นเกมง่าย ๆ ที่เหมาะกับพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย, คุยกับลูกมากขึ้น, การมีกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันมากขึ้น เช่น การออกไปข้างนอกร่วมกัน ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ไปสวนสัตว์ ไปสวนสาธารณะ ออกกำลังกาย วาดรูป เล่านิทาน ก็จะทำให้เด็กรู้จักมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น เพิ่มโอกาสที่เด็ก ๆ จะได้เจอกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการพัฒนาการทางสังคมที่สำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องกำหนดเวลาการใช้หน้าจอของลูก และไม่ทิ้งเด็กไว้กับหน้าจอเพียงลำพังโดยเด็ดขาด

สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดระยะเวลาการใช้หน้าจอที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงอายุ คือ 

ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องให้เวลา มีระเบียบวินัย และอดทนในการค่อย ๆ ฝึกฝน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูก รวมทั้งเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมกับลูก และต้องหมั่นสังเกตอาการลูกว่าเริ่มมีอาการติดหน้าจอหรือไม่ หากมีอาการเข้าข่าย แนะนำให้มาพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยง วินิจฉัย ป้องกันและรักษาอย่างเหมาะสมร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการเลี้ยงดูที่เหมาะสมใกล้ชิดจากครอบครัว เพื่อให้ลูก ๆ มีพัฒนาการทางจิตใจ อารมณ์ และสังคมที่เพียบพร้อมสมบูรณ์

นพ.ณชารินทร์ พิภพทรรศนีย์

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความเพิ่มเติม