หากรู้สึกเบื่องาน เหนื่อยล้าจากการทำงาน มีอารมณ์ร่วมกับงานน้อยลง ไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง สมาธิลดลง มองความสัมพันธ์ในที่ทำงานไปในทางลบ อารมณ์ไม่ดี มุมมองต่อตนเองแย่ลง จนเกิดผลกระทบต่อการทำงานและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของBurnout หรือ ภาวะหมดไฟ
ผลกระทบจากภาวะหมดไฟ
- ความคิดและจิตใจ มักมีปัญหาสมาธิความจำไม่ดี ไม่กล้าตัดสินใจ จัดการปัญหาได้ลดลง มองคุณค่าในตัวลดลง นอนไม่หลับ ซึมเศร้า อาจนำไปสู่การใช้บุหรี่หรือแอลกอฮอล์เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
- สุขภาพกาย อาจมีปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้นเนื่องจากการทำงานของภูมิคุ้มกันที่ลดลง
- พฤติกรรม เกิดความไม่พอใจในหน้าที่การงาน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่ผูกพันกับองค์กร ไม่อยากไปทำงาน อยากลาออกจากงาน แต่ขณะเดียวกันถ้ายังคงทำงานต่อมักจะทำงานไม่มีประสิทธิภาพและอาจเกิดอารมณ์หงุดหงิดก้าวร้าวได้ โดยความรุนแรงสามารถแบ่งออกได้ 4 ระดับ ดังนี้
- ส่งผลกระทบเล็กน้อย คือ อาจมีแค่อาการเหนื่อยเพลียง่ายขึ้น ไม่มีอาการทางกายชัดเจน
- ส่งผลกระทบปานกลาง คือ มีอาการนอนไม่หลับ เหนื่อยหน่าย ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน กระวนกระวายใจ รู้สึกผิดง่าย มองคุณค่าในตัวเองลดลง
- ส่งผลกระทบมาก คือ ขาดงานบ่อย ไม่ทำงาน ไม่เข้าสังคม เริ่มใช้แอลกอฮอล์หรือยาอื่นๆ
- ส่งผลกระทบมากที่สุด คือ แยกตัว หงุดหงิดก้าวร้าว ซึมเศร้ารุนแรง หรืออาจมีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย
- ผลกระทบต่อองค์กร การที่พนักงานในองค์กรขาดแรงบันดาลใจในการทำงาน ทำให้ประสิทธิภาพและความสามารถในการทำงานลดลง
- ได้ผลงานลดลง และยังส่งผลกระทบถึงเพื่อนร่วมงานจนเกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการส่งต่อภาวะหมดไฟไปยังพนักงานคนอื่นได้
การป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟสำหรับองค์กร
- ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน และเนื้อหาของงานให้เหมาะสมกับพนักงาน
- จัดตารางการทำงานและการใช้ชีวิตให้เหมาะสม (work-life balance)
- พัฒนาหัวหน้างานให้เป็นผู้นำที่ดี
- ให้รางวัลเป็นสิ่งจูงใจ โดยหลีกเลี่ยงการให้เป็นเงิน
- เฝ้าระวังและสังเกตภาวะหมดไฟ ในพนักงาน
- จัดตั้งหน่วยงานที่คอยให้คำปรึกษาด้านจิตใจ
- พัฒนาจุดแข็งของพนักงาน
- จัดตั้งกลุ่มให้การสนับสนุนพนักงาน
การป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟสำหรับตัวเอง
- ปรับการใช้ชีวิต เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หาเวลาพักผ่อน
- ฝึกการมีสติรู้ตัว
- ประเมินและสังเกตความคิด อารมณ์ พฤติกรรมตนเองสม่ำเสมอ
- จัดการเวลาทำงานของตนเอง ให้มีเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนที่ชัดเจน
- มองหาคนที่จะพูดคุยเรื่องไม่สบายใจได้ หรือกลุ่มคนที่คอยเป็นกำลังใจ
อย่างไรก็ตามภาวะหมดไฟในการทำงานอาจไม่ร้ายแรง แต่ถ้าปล่อยไว้นานอาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ หากรู้ตัวหรือคนรอบข้างสังเกตได้
เร็ว ลองปรับเปลี่ยนมุมมองต่อตัวเอง ต่องาน จัดการเวลาในการทำงานและพักผ่อนให้เหมาะสม หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ออกไปทำกิจกรรมที่ชอบ พบเพื่อนที่สนิทเพื่อพูดคุยและรับแรงสนับสนุนกำลังใจจากคนรอบข้างหรือครอบครัว คุยกับหัวหน้างานในเรื่องที่รู้สึกอึดอัด เพื่อช่วยกันจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น จะช่วยให้อาการบรรเทาลงได้ แต่ถ้าทำตามแล้วความรู้สึกไม่ดีขึ้น ยังมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง จนเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิดที่คุมได้ยาก จัดการปัญหาไม่ได้ แนะนำให้พบจิตแพทย์เพื่อประเมินและทำการรักษาที่เหมาะสม
บทความที่เกี่ยวข้อง
ความเจ็บปวดที่มองไม่เห็น
ปัญหาสุขภาพจิตกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในสังคมปัจจุบัน แต่สิ่งที่ตามมาพร้อมกับปัญหาเหล่านี้คือ "การตีตรา" (Stigma)
เข้าใจอาการและการรักษาโรคซึมเศร้า ก่อนเข้ามาพบแพทย์
เช็กอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรม ต้องพบแพทย์รักษาโรคซึมเศร้าหรือไม่ แล้วโรคซึมเศร้าอันตรายหรือไม่ สามารถรักษาหายได้ไหม และมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง
โรคซึมเศร้า ภัยเงียบคุกคามสังคม
วันที่ 10 ตุลาคมของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันสุขภาพจิตโลก” (World Mental Health Day) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต
Talk to Doctor
Call Us
Line BMHH