โรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง Posttraumatic stress disorder (PTSD) หรือ โรคเครียดฉับพลัน Acute stress disorder (ASD) เป็นโรคที่เกิดหลังจากที่ผู้ป่วยเจอกับเหตุการณ์ที่รุนแรง เช่น ภาวะสงคราม อุบัติเหตุร้ายแรง ถูกทารุณกรรม ถูกข่มขืน ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงก่อให้เกิดอาการทางจิตเวชที่จำเพาะ โดยทั่วไปอาการมักเกิดหลังประสบเหตุทันที ซึ่งพบในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ทหารในภาวะสงคราม ประมาณร้อยละ 8 และพบในคนทั่วไปทุกช่วงอายุประมาณร้อยละ 5 – 75 ทั้งนี้มักพบเป็นในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ปัจจัยเสี่ยงของโรคคือ ความรุนแรง ระยะเวลา ความใกล้ของการเผชิญเหตุการณ์ที่รุนแรง นอกจากนี้ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยอาจมีโรคทางจิตเวชอื่นร่วมด้วย เช่น โรคซึมเศร้า โรคอารมณ์สองขั้ว การใช้สารเสพติด และโรควิตกกังวลอื่น ๆ
อาการของโรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรง
การรู้สึกถึงประสบการณ์ที่ตกอยู่ในเหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมาซ้ำ ๆ ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น, การหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น, มีอาการตื่นตัวง่าย, หวาดกลัวอย่างรุนแรง, รู้สึกไร้ทางออก, ซึมเศร้า ,วิตกกังวล, มีปัญหาด้านสมาธิความจำ ซึ่งผู้ป่วยบางคนอาจมีการรับรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือตัวผู้ป่วยเองผิดไปจากความเป็นจริง เช่น มองเห็นตัวเองราวกับมองจากมุมของผู้อื่น ตกอยู่ในภาวะงุนงง หรือรู้สึกเวลาช้าลง
การวินิจฉัย
- ผู้ป่วยเจอเหตุการณ์ถูกคุมคามจากความตาย การบาดเจ็บรุนแรง ความรุนแรงทางเพศ เช่น เผชิญเหตุการณ์โดยตรง เป็นผู้พบเห็นหรือเป็นพยานในเหตุการณ์ รับรู้เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่รัก หรือครอบครัว
- มีอาการเกี่ยวกับเหตุการณ์ผุดขึ้นมาซ้ำ ๆ เช่น ความทรงจำร้าย ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ฝันร้ายซ้ำ ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ ความรู้สึกเหมือนเหตุการณ์กลับมาเกิดอีก มีความทุกข์ใจหรือมีปฏิกิริยาทางร่างกายเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เป็นสัญลักษณ์หรือคล้ายกับเหตุการณ์นั้น
- มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงเมื่อเจอสิ่งเร้าที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น เช่น พยายามเลี่ยงความทรงจำ ความคิด ความรู้สึกที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น หลีกเลี่ยงสิ่งภายนอกที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น เช่น ผู้คน สถานที่ บทสนทนา กิจกรรม วัตถุ หรือสถานการณ์
- มีความนึกคิดและอารมณ์เปลี่ยนไปในทางลบหลังเกิดเหตุการณ์ เช่น ไม่สามารถระลึกถึงส่วนสำคัญของเหตุการณ์นั้น, มีความเชื่อและความคาดหวังกับตัวเอง คนอื่น และโลกภายนอกในแง่ลบเกินจริงตลอด, มีความคิดเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบของเหตุการณ์นั้นบิดเบือนไปจากความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้โทษตัวเองหรือผู้อื่น, มีสภาวะอารมณ์ลบอย่างต่อเนื่อง เช่น กลัว โกรธ อาย รู้สึกผิด, ความสนใจหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก, รู้สึกแปลกแยกจากผู้อื่นและไม่สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ทางบวกได้ เช่น ไม่สุข ไม่พอใจ ไม่รู้สึกถึงความรัก
- มีอาการตื่นตัว, หงุดหงิด โกรธง่าย, มีพฤติกรรมบ้าบิ่น หรือทำร้ายตนเอง, ระแวดระวังมากไป, ตกใจมากกว่าปกติ, มีปัญหาด้านสมาธิ และมีปัญหาการนอนระยะเวลามีอาการ ตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป
- ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานและบกพร่องในหน้าที่ทางสังคม ความสัมพันธ์ หรือด้านอื่นๆ
สาเหตุของโรคเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์รุนแรงคือ ด้านจิตใจ เมื่อจิตใต้สำนึกถูกกระตุ้นโดยเหตุการณ์ที่รุนแรง ทำให้ผู้ป่วยเกิดพฤติกรรมถดถอย และใช้กลไกป้องกันจิตใจตัวเองที่ไม่เหมาะสมจนเกิดอาการต่าง ๆ และผู้ป่วยเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่เตือนให้นึกถึง เช่น เช่น ภาพ เสียง กลิ่น ทำให้พอเจอสิ่งเตือนก็จะมีอาการหวาดกลัวราวกับเจอเหตุการณ์นั้นจริง ๆ และด้านชีวภาพ พบว่ามีความผิดปกติของสารสื่อประสาทบางตัว หรือความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานไวเกิน การอยู่ในความเครียดนานจะมีผลทำลายเซลล์สมองทำให้สมองบางส่วนมีขนาดเล็กลง
สำหรับการรักษาจะมีการรักษาด้วยยา โดยยาหลักคือกลุ่มยาต้านเศร้า จะให้ยาเท่ากับผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า และควรให้ยานานอย่างน้อย 1 ปี และการรักษาด้วยจิตบำบัด เช่น ความคิดพฤติกรรมบำบัด (cognitive behavior therapy) สิ่งสำคัญคือ การให้กำลังใจ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้พูดระบายความรู้สึก ความคิด เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เผชิญมาเท่าที่ผู้ป่วยต้องการ โดยไม่ต้องลงรายละเอียดของเหตุการณ์เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงจากการรู้สึกว่าเหตุการณ์เกิดซ้ำ ช่วยแนะนำวิธีปรับตัว ฝึกผ่อนคลาย ส่งเสริมให้ญาติมีส่วนช่วยเหลือประคับประคองผู้ป่วย, วิธีบำบัดบาดแผลทางใจ (EMDR) ที่ให้ผู้ป่วยนึกถึงเหตุการณ์ไปพร้อมกับมองตามนิ้วมือของผู้รักษาที่เคลื่อนไหวไปมาตามขวาง และการบำบัดความกลัวด้วยการเผชิญหน้ากับความกลัว ให้ผู้ป่วยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อีกครั้งผ่านการจินตนาการ
อย่างไรก็ตาม การจัดการความเครียดจากเหตุการณ์รุนแรงเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและอาศัยความอดทน แต่ถ้าไม่สามารถจัดการความเครียดได้ แนะนำให้มาปรึกษาจิตแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
นายแพทย์ณชารินทร์ พิภพทรรศนีย์
จิตแพทย์ผู้ใหญ่
บทความที่เกี่ยวข้อง
โรคแกล้งป่วย เมื่อความเจ็บป่วยกลายเป็นการแสดง
การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แต่ในบางกรณี ความเจ็บป่วยกลับถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์บางอย่าง
5 อาการ โรคหลายบุคลิก
บุคลิกภาพของแต่ละบุคคล อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทของสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเพราะคนเรามักมีการปรับตัวเข้ากับสังคม
โรคชอบขโมย ไม่ใช่แค่ “ขโมย” แต่เป็น “โรค”
การลักเล็กขโมยน้อย เป็นพฤติกรรมที่ใครเจอก็ต้องส่ายหัว เพราะต้องคอยระแวงข้าวของของตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ในทางจิตเวชมีอยู่ 1
Talk to Doctor
Call Us
Line BMHH